วิธีสร้างสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว
ความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คน ซึ่งอาจเป็นระหว่างคนในครอบครัวเดียวกัน เช่น สามีกับภรรยา แม่กับลูก พี่กับน้อง หรืออาจเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน เพื่อนนักเรียนนั้น คนส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน มีความรักความเข้าใจกัน ช่วยเหลือกันในเรื่องต่าง ๆ แต่บางครั้งการสร้างสัมพันธภาพ หรือการรักษาสัมพันธภาพให้ยืนยาวกลับไม่เป็นไปตามความตั้งใจเริ่มแรก ได้รับผลที่ไม่อยากได้ กลายเป็นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน เกิดความขัดแย้งกันรุนแรงจนถึงขึ้นแตกหักได้นั้น เป็นเพราะมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งเสริมให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ในทางตรงข้ามก็มีปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงเรื่อย ๆ จนถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งกันได้
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกันมี 3 ปัจจัยใหญ่ คือ 1. การชมเชยหรือชื่นชมที่เหมาะสม 2. การติเพื่อก่อ 3. การแก้ไขความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค์
คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะอยู่ในครอบคัวหรืออยู่ในสังคมภายนอกครอบครัว มักจะไม่ค่อยชื่นชมหรือชมเชยกัน ในหลายครอบคัวพ่อแม่มีความเชื่อว่าถ้าชมลูกบ่อย ๆ เด็กจะเหลิง อาจกลายเป็นคนไม่ดีได้ ทำให้พ่อแม่ไม่ชมเมื่อลูกกระทำสิ่งที่ดีหรือมีพฤติกรรมในลักษณะที่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องการหรือทำให้เด็กขาดกำลังใจ ขาดน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ การติดต่อสื่อสารที่ตรงและได้ผลดีมากก็คือคำพูด ซึ่งจะดีกว่าภาษากายหรือการแสดงออกแล้วให้อีกฝ่ายหนึ่งเดาใจหรือเข้าใจได้เอง
คนเราโดยทั่วไปต้องการคำชมเชย โดยการชมเชยที่จะสร้างเสริมสัมพันธภาพให้ดีควรมีลักษณะดังนี้ • ชมพฤติกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ๆ • การชมความเน้นที่พฤติกรรมที่ทำได้ดี และชมทีละ 1 พฤติกรรม • บอกความรู้สึกของเราต่อพฤติกรรมนั้นอย่างจริงใจ • ชมเฉพาะสิ่งที่ควรชม • ไม่ชมมากเกินกว่าความเป็นจริง
กรณีตัวอย่าง การติในเชิงสร้างสรรค์ ลูกหรือพ่อ บอกกับแม่ว่า “วันนี้ แม่ทำกับข้าวอร่อยมาก ทำให้รับประทานอาหารได้มากและรู้สึกมีความสุข และภูมิใจที่มีคุณแม่ทำกับเข้าวอร่อย” แม่บอกกับลูกว่า “วันนี้ แม่รู้สึกภูมิใจที่ลูกช่วยล้างชามในตอนเย็นได้สะอาดเรียบร้อยดีมาก โดยที่แม่ไม่ต้องเรียกให้ทำการติเพื่อก่อ คนส่วนใหญ่ ไม่ชอบฟังคำติ การติติงที่ไม่เหมาะสมมักจะทำให้เกิดผลเสียหายตามมา เช่น เกิดการทะเลาะกันได้ แต่การติในเชิงสร้างสรรค์ก็มี
ประโยชน์ และสามารถเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีได้ การติในเชิงสร้างสรรค์ ควรมีลักษณะดังนี้ • ต้องแน่ใจว่า เขาสนใจที่จะรับฟังคำติ และพร้อมที่จะรับฟัง • เรื่องที่จะติ ต้องเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว • สิ่งที่จะติ ต้องเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ • พูดถึงพฤติกรรมที่ติให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม • บอกทางแก้ไขไว้ด้วย เช่น ควรทำอย่างไรให้ดีขึ้น • รักษาหน้าของผู้รับคำติเสมอ เช่น ไม่สมควรติต่อหน้าคนอื่น • เลือกเวลาและจังหวะที่เหมาะสม เช่น ผู้รับคำติมีอารมณ์สงบหรือแจ่มใส ไม่ติในช่วงที่มีอารมณ์โกรธ
กรณีตัวอย่าง พ่อหรือแม่ติลูกวัยรุ่นพูดคุยโทรศัพท์ พ่อหรือแม่ติลูกวัยรุ่นในขณะที่ลูกมีอารมณ์สงบ พร้อมที่จะรับฟังว่าลูกพูดคุยโทรศัพท์กับเพื่อนนานวันละ 3 ชั่วโมงในช่วง 2 - 3 วันที่ผ่านมานี้ เป็นการกระทำที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย ควรปรับลดเวลาการคุยลงให้เหลือ วันละ 1/2 - 1 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้มีเวลาทำการบ้าน อ่านหนังสือหรือนอนหลับพักผ่อนได้เพียงพอ
การแก้ไขความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค์ ควรเป็นไปในลักษณะดังต่อไปนี้ • แสดงความปรารถนาอย่างแน่วแน่ที่จะร่วมกันรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไว้ • มุ่งมั่นเชิงสร้างสรรค์ เป็นไปในทางการปรึกษากัน • ให้ความสำคัญ และตั้งใจฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง • แสดงความคิดเห็นของเราให้ชัดเจนและสื่อสารให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับทราบ • ไม่ถือว่าการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นเรื่องแพ้หรือเป็นเรื่องที่เสียหาย • ยอมรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน • หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ ขู่ คุกคาม ดื้อรั้น • ช่วยกันเลือกหาทางออกที่ยอมรับได้ทั้ง 2 ฝ่าย
กรณีตัวอย่าง การแก้ไขความขัดแย้งระหว่างคู่สมรส คู่สมรสทั้ง 2 คนจะต้องเปิดใจรับฟังกันก่อนโดยการพูดทีละคน และรับฟังกันโดยพูดให้จบประโยคหรือจบประเด็นทีละคน และรับฟังให้เข้าใจว่าอีกคนตั้งใจจะสื่ออะไรให้ทราบ ถ้าฝ่ายหนึ่งพูดแทรกในขณะที่อีกคนพูดไม่จบประเด็น ก็จะทำให้สื่อสารกันไม่ได้ ถ้าคนหนึ่งหรือทั้ง 2 คน โกรธ โมโห ข่มขู่ ก็จะยิ่งทำให้ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้ ดังนั้น จึงต้องหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ พยายามพูดคุยกันด้วยอารมณ์ที่สงบ และตั้งใจฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง ในท้ายที่สุดจึงช่วยกันเลือกหรือตัดสินใจมองหาทางออกที่ทั้งคู่ ยอมรับได้
Cr. Thaihealth
|