7 เรื่องน่ารู้ รับมือไข้หวัดหน้าร้อน
ไข้หวัดหน้าร้อน เป็นแล้วทรมานใจกว่าไข้หวัดหน้าหนาวอีกนะคะ ถ้าอย่างนั้นเรามารับมือไข้หวัดหน้าร้อนไปพร้อม ๆ กันดีกว่า เผื่อใครกำลังมีแววว่าจะเป็นไข้หวัดหน้าร้อน จะได้ป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ
สภาพอากาศช่วงนี้เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวครึ้ม บางวันฝนก็ตกลงมาซะอย่างนั้น หลายคนเลยเกิดอาการคัดจมูก เป็นหวัดขึ้นมาได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะกับคนที่นั่งทำงานในห้องแอร์ แต่ช่วงกลางวันต้องออกไปเจอกับแดดจ้า ๆ สัมผัสอากาศร้อนหนาวสลับกันอย่างนี้ ไม่นานก็เกิดอาการหวัดถามหากันเป็นแถว ทางเว็บไซต์ Reader’s digest เขาเลยแนะ 7 ข้อน่ารู้เกี่ยวกับไข้หวัดหน้าร้อน เพื่อให้เรารับมือกับอาการไข้หวัดในหน้าร้อนกันก่อนตามนี้เลยจ้า
1. ในช่วงหน้าร้อน ก็มีโอกาสเป็นหวัดถึง 25% แม้ว่าโรคหวัดมักจะเกิดขึ้นในช่วงหน้าหนาว แต่ในฤดูร้อนเราก็มีความเสี่ยงเป็นหวัดได้ถึง 25% เลยทีเดียวนะคะ นับว่ามีโอกาสเสี่ยงถึง 1 ใน 4 ซึ่งถ้าไม่อยากทรมานเพราะอาการหวัดคัดจมูกท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ ปนชื้นจากน้ำฝนแบบนี้ล่ะก็? อย่าได้ชะล่าใจละเลยสุขภาพกันเชียว
2. เชื้อไวรัสหวัดในช่วงหน้าร้อน มีเอี่ยวทำให้ปวดท้องด้วย เชื้อไวรัสหวัดในฤดูร้อน กับเชื้อไวรัสหวัดในฤดูหนาวเป็นเชื้อไวรัสต่างชนิดกันค่ะ ดังนั้นอาการป่วยเลยไม่เหมือนกันซะทีเดียว อย่างถ้าเป็นหวัดในหน้าหนาว เราอาจจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดศีรษะตามปกติ แต่ถ้าเป็นหวัดในฤดูร้อนอย่างนี้ นอกจากอาการพื้นฐานของโรคไข้หวัดแล้ว ก็อาจจะรู้สึกปวดท้อง ท้องเสีย หรือปั่นป่วนท้องเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้แพทย์จึงแนะนำให้ล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำ และก่อนรับประทานอาหาร เพื่อเป็นการกำจัดเชื้อโรคและไวรัสหวัดในเบื้องต้นก่อน
3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องแอร์เย็นจัด อากาศร้อนขนาดนี้เป็นใครก็คงอยากตากแอร์เย็นฉ่ำกันทั้งนั้น แต่การอยู่ในห้องแอร์เย็นจัด หรือนั่งให้พัดลมจ่อหน้าคลายร้อนแบบนี้ล่ะ ที่เป็นตัวเร่งให้เกิดอาการหวัดได้ง่าย ๆ เนื่องจากอากาศที่เย็น จะทำให้เลือดชะลอตัว โพรงจมูก และคอก็จะแห้ง ไวต่อเชื้อไวรัสหวัดมากขึ้น
4. ออกกำลังกาย ไล่หวัดได้ชะงัด หลายคนเข้าใจว่า ในขณะที่มีอาการหวัดหรือกำลังเริ่มเป็นหวัดในระยะแรก ๆ หากออกกำลังกายจะยิ่งทำให้อาการหนักกว่าเดิม ซึ่งจริง ๆ แล้วต้องบอกอย่างนี้ค่ะว่า การออกกำลังกายในขณะที่เริ่มเป็นหวัดในระยะต้น ๆ จะช่วยฟื้นฟูร่างกาย รวมทั้งขับไล่เชื้อไวรัสในตัวเราออกไป สุดท้ายอาการหวัดที่น่ารำคาญก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง
5. เป็นไข้หวัด ต้องใช้เวลาในการรักษา ในเรื่องของการรักษาอาการหวัด ไม่ว่าจะเป็นหวัดหน้าหนาว หรือหวัดหน้าร้อนก็ต่างต้องใช้เวลาในการเยี่ยวยารักษานานพอ ๆ กัน และต่อให้ไปหาคุณหมอ เพื่อรักษาอาการหวัด ยังไงคุณก็ต้องกินยาบรรเทาอาการทีละอย่างด้วยความอดทน เพราะไม่มียาชนิดไหนจะช่วยรักษาอาการหวัดให้หายได้ภายในวันเดียว
ดังนั้น คุณหมอจึงสั่งจ่ายยาอม ยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวดหัว และยาบรรเทาอาการหวัดต่าง ๆ มาให้คุณเป็นกอบเป็นกำ พร้อมทั้งแนะนำให้นอนหลับให้เพียงพอ เพื่อรักษาอาการไข้หวัดให้หายเร็วที่สุด แต่หากเริ่มรู้สึกเจ็บคอ ให้คุณรีบดื่มน้ำอุ่น ดื่มน้ำมะนาวสดผสมเกลือ เพื่อรักษาอาการอักเสบ รวมทั้งออกกำลังกายกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และพักผ่อนเยอะ ๆ ด้วยก็ดี
6. อาการหวัดหน้าร้อนอาจเป็นนานถึง 2 สัปดาห์ โดยปกติอาการไข้หวัดก็ช่างตื้อ และอยู่กับเรานานเป็นสัปดาห์ แต่ถ้าหากคุณเป็นไข้หวัดในช่วงหน้าร้อนขึ้นมาเมื่อไร อาการหวัดจะอยู่นานอยู่ทนกับเราได้นานถึง 2 สัปดาห์เลยนะคะ และที่เป็นอย่างนี้ก็อธิบายได้ว่า สภาพอากาศร้อนชื้นในช่วงหน้าร้อน เป็นสภาพแวดล้อมสุดโปรดของเจ้าเชื้อไวรัสหวัด เราก็เลยต้องทรมานกับอาการหวัดกันนานขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งถ้าไม่อยากเป็นหวัดในหน้าร้อน ก็ต้องหมั่นกินอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีด้วยนะคะ 7. อย่าสับสนระหว่างอาการหวัด และอาการภูมิแพ้ เนื่องจากไข้หวัดมักจะอยู่กับเรานานเป็นสัปดาห์ ผู้ป่วยบางคนเลยเข้าใจไปว่า อาการที่ตัวเองเป็นอยู่อาจจะเข้าข่ายโรคภูมิแพ้มากกว่าอาการของคนเป็นไข้หวัด เลยไม่ได้รักษาอาการหวัดอย่างที่ควรจะทำ สุดท้ายก็ป่วยไม่หายสักที แพทย์ก็เลยชี้แจงว่า แม้อาการไข้หวัด กับอาการของโรคภูมิแพ้จะคล้ายคลึงกัน แต่หากคุณเป็นภูมิแพ้ คุณจะมีแค่อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล อาการจาม และตาบวมแดงเท่านั้น แต่จะไม่มีอาการปวดศีรษะ ตัวร้อน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อร่วมด้วย ฉะนั้นต้องสังเกตอาการให้ดี ๆ นะจ๊ะ
ไม่ว่าจะฤดูไหน ก็คงไม่มีใครอยากป่วยเป็นไข้หวัดกันแน่ ๆ ดังนั้นก็อย่าลืมรักษาสุขภาพร่างกาย โดยกินอาหารที่มีประโยชน์ รักษาความสะอาด ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และอย่าเดินตากฝนเด็ดขาดเลยนะคะ
ข้อมูลจาก www.kapook.com
|