“โรคไอกรน” โรคที่พ่อแม่ต้องรู้ อันตรายถึงชีวิตลูกน้อย!
“ไอกรน” ฟังแค่ชื่อก็เหมือนจะเป็นโรคธรรมดา แต่โรคนี้ไม่ธรรมดาเลยนะคะ ด้วยเพราะเป็นโรคที่เสี่ยงและอันตรายมากค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเกิดกับเด็กเล็กที่มีอายุ 0 - 7 ขวบ ซึ่งหากดูแลไม่ดีอาจเกิดอาการแทรกซ้อนและเป็นอันตรายต่อชีวิตลูกน้อย ได้เลย และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้คุณพ่อคุณแม่อย่างเรา ๆ สามารถรับมือกับโรคไอกรน แอดมินเลยมีอาการของโรคและวิธีป้องกันลูกน้อยให้ห่างไกลจากโรคไอกรนมาฝากเพื่อน ๆ ค่ะ
ไอกรน คือโรคอะไร ? ไอกรน คือ โรคที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจอักเสบ และเกิดอาการไอ สามารถติดต่อได้ทาง การหายใจ น้ำมูก และน้ำลาย ลักษณะของโรคนั้นแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ • ระยะน้ำมูกไหล อาการแรกเริ่มคล้ายกับโรคหวัด คือ มีน้ำมูกไหล จาม เบื่ออาหาร อาจมีไข้ต่ำ ๆ ร่วมด้วย ระยะนี้จะกิน เวลา 10-14 วัน • ระยะไอติดต่อกันเป็นพัก ๆ เป็นระยะที่ต่อเนื่องจากน้ำมูกไหล คือ มีการไอถี่ ๆ ประมาณ 5-15 ครั้ง ต่อเนื่องกันเป็นชุด จนผู้ป่วยหายใจเข้าไม่ทัน จึงตามมาด้วยการหายใจเข้าอย่างแรงจนเกิดเป็นเสียงดัง “วี้ด” ซึ่งหากเกิดในเด็กเล็กอาจหายใจไม่ทันจนเกิดอาการหน้าเขียวได้ ในระยะนี้กินเวลาประมาณ 10-14 วัน • ระยะฟื้นตัว ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น ไอน้อยลง และเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ หากไม่เกิดโรคแทรกซ้อน หรืออาการร้ายแรง เช่น การหายใจไม่ออกในทารก โรคปอดบวม โรคถุงลมโป่งพอง อาการทางสมอง และเลือดออกในสมอง เป็นต้น
การป้องกัน 1. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด โรคไอกรนในระยะแรกนั้นจะคล้ายคลึงกับอาการไข้หวัด คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กคลุกคลีหรืออยู่ใกล้ผู้ที่มีอาการดังกล่าว หรือผู้ที่ไอจามโดยไม่ปิดปาก เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกได้รับเชื้อโรคที่อาจเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ หากจำเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน อาจสวมหน้ากากอนามัยป้องกันให้ลูกก่อนออกจากบ้าน ก็ช่วยป้องกันได้อีกทางหนึ่งค่ะ 2. ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง สุขภาพที่แข็งแรงเป็นเกราะต้านทานโรคภัยชั้นดี คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลสุขภาพของลูกอย่างสม่ำเสมอ ให้ลูกกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อปริมาณที่ร่างกายต้องการ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เขามีสุขภาพที่แข็งแรง พร้อมต่อสู้กับโรคภัยต่าง ๆ 3. ใช้ตัวช่วยบรรเทาอาการระคายคอ นอกจากการดูแลตนเองที่กล่าวถึงแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอที่เกิดจากการไอได้ คือ การใช้สเปรย์สำหรับช่องปาก ที่มีส่วนผสมสารสกัดธรรมชาติของดอกคาโมมายล์และโพรพอลิส ซึ่งผลงานวิจัยพบว่า ช่วยลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยลดอาการระคายเคืองในช่องปากและลำคอ ช่วยคืนความชุ่มชื้น ให้ลำคอ เป็นวิธีในการดูแลบรรเทาอาการเจ็บคอที่ดีอีกวิธีหนึ่ง พกพาได้ง่าย ใช้สะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ (ข้อมูลจากผลิตภัณฑ์ Flemomile)
ถึงแม้ว่า “โรคไอกรน” จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ก็มักเกิดขึ้นกับเด็กเล็กเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยร่างกายมีภูมิต้านทานน้อย ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กจะต้องหมั่นดูแลให้ลูกน้อยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญคือเมื่อต้องไปในสถานที่มีผู้คนพลุกพล่านก็ควรสวมหน้ากากอนามัยให้ลูกน้อยทุกครั้ง เพื่อป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถดูแลลูกน้อยให้ห่างไกลจากโรคไอกรนแล้วค่ะ
มา “สุขใจเพราะเราเลือกดูแลกัน” ด้วยวิธีดูแลลูกน้อยเมื่อเป็นโรคไอกรน และเมื่อไอให้นึกถึงเฟลมเม็กซ์นะคะ
ข้อมูลจาก gedgoodlife
|