ระวัง! 7 โรคยอดฮิต ที่มากับฤดูหนาว
เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายนทีไร ในประเทศไทยก็ถือว่าเราเข้าสู่ต้นฤดูหนาว กันแล้วนะคะ แน่นอนว่าอากาศในช่วงนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ทำให้ร่างกายของ ใครหลายๆ คน อาจปรับตัวกับสภาพอากาศไม่ทัน เสี่ยงต่อการเกิดโรค ที่มากับ “ฤดูหนาว” 7 โรค ตามที่กรมควบคุมโรคประกาศไว้ ซึ่งแต่ละโรคก็มีทั้งสาเหตุ อาการ และวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้!!
1. โรคไข้หวัด เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ง่าย จากเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วย สำหรับอาการที่พบในโรคไข้หวัด จะเริ่มด้วยการมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอ วิธีการป้องกัน คือ หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วย หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ทานอาหารที่มี ประโยชน์ ออกกำลังสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ หากเป็นแล้วควรสวมหน้ากากอนามัย นอนพักผ่อนอยู่บ้าน และรักษาตามอาการ 2. โรคไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสคนละชนิด และมีอาการรุนแรงกว่าโรคไข้หวัดธรรมดา คือตัวจะร้อนจัด หนาวสั่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามกระดูก หรือกล้ามเนื้อ มีอาการคลื่นไส้ สามารถป้องกันโรคได้ ด้วยการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กันไว้ หรือหากเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว ก็ควรไปพบแพทย์ 3. โรคหัด เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสหัด พบได้บ่อยในเด็กเล็ก สามารถติดต่อกันได้ง่ายจากการไอ หรือจามรดกันโดยตรง อาการของโรคหัด จะมีไข้สูง 3-4 วัน น้ำมูกไหล ไอ และตาแดง เมื่อเข้า วันที่ 4 จะมีผื่นเป็นจุดแดง ๆ เล็ก ๆ ขึ้นกระจายไปตามตัว และไข้จะลดลง โรคนี้สามารถป้องกันได้ ด้วยการฉีดวัคซีน แต่ถ้าหาเป็นแล้ว มีวิธีการรักษา คือ ให้ผู้ป่วยนอนพัก เช็ดตัวในช่วงที่มีไข้สูง ทานยาลดไข้ 4. โรคหัดเยอรมัน เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ทำให้เกิดอาการไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะเล็กน้อย เบื่ออาหาร ตาแดง มีผื่นเล็ก ๆ สีชมพูอ่อน ๆ ในเด็กเล็กมักมีอาการเล็กน้อย แต่ในผู้ใหญ่จะมีอาการ 1-5 วัน โรคนี้ ติดต่อจากการสัมผัส การหายใจ จากละอองเสมหะของผู้ป่วย จากการไอ จาม เป็นโรคที่สามารถ ป้องกันได้ด้วยวัคซีน แต่หากเป็นแล้วก็ควรพักผ่อน ทำให้ร่างกายได้รับความอบอุ่น ทานยาลดไข้ 5. โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อจากเสมหะ น้ำมูก และน้ำลายของผู้ป่วย หรือจากการ สัมผัสน้ำเหลืองจากตุ่มใสที่ผิวหนังของผู้ป่วย มักเกิดในเด็กผู้ที่ยังไม่เป็นโรคนี้ แต่พอเป็นแล้วจะมี ภูมิต้านทานไปตลอดชีวิต โรคนี้มีอาการเริ่มจากไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีผื่นขึ้นโดยเริ่มเป็น ผื่นแดงทั่วตัว และอาจขึ้นในคอ ตา และปากด้วย ต่อมาจะเป็นตุ่มนูน แล้วเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสใน วันที่ 2-3 นับตั้งแต่เริ่มมีไข้ หลังจากนั้น ตุ่มจะเป็นหนอง และแห้งตกสะเก็ดจนร่วงในเวลา 5-10 วัน เมื่อเป็นโรคนี้แล้วควรหยุดเรียนหรือหยุดทำงาน นอนพักผ่อนที่บ้าน อาจกินยาลดไข้ ดูแลรักษาตัว จนแผลตกละเก็ด และจะหายได้เองใน 1-3 สัปดาห์ 6. โรคปอดบวม โรคนี้อาจเป็นโรคแทรกซ้อนของไข้หวัด หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อปอดบวมโดยตรง ติดต่อเข้าสู่ร่างกายทางจมูก ปากและตา เชื้อจะอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ที่ผู้ป่วยไอ จาม ออกมา หรือติดต่อโดยการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ไอมาก หายใจหอบ หายใจเร็ว อาจหายใจแรงจนชายโครงบุ๋ม สำหรับเด็กจะมีอาการซึมด้วย โรคนี้เป็นโรคที่ติดเชื้อ เฉียบพลัน ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาทันท่วงที หากมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์ 7. โรคอุจจาระร่วง โรคอุจจาระร่วงในฤดูหนาวเกิดจากเชื้อไวรัส มักเกิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งติดต่อได้ จากการดื่มน้ำหรือทานอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อน ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำบ่อย ครั้ง ปวดท้อง อ่อนเพลีย อาจมีไข้ หรือคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ถ้าหากขาดน้ำรุนแรงจะต้องได้ รับการรักษาในโรงพยาบาล การป้องกันโรคคือ ควรล้างมือก่อนทานอาหาร ทานอาหารที่ปรุงสุก ใหม่ ๆ ดื่มน้ำสะอาด กำจัดขยะและรักษาความสะอาด เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งของเชื้อโรค
ฤดูหนาวอาจจะเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆ คน อาจเป็นเพราะช่วงนี้มีอากาศที่เย็น สบายดี แต่อย่าลืมนะคะว่าอากาศที่หนาวเย็นจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้ดี ดังนั้น “อย่าลืมดูแล สุขภาพ” ด้วยวิธีการง่าย ๆ เลยก็คือ การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ พักผ่อนให้ เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ สวมหน้ากากอนามัยป้องกันการติดเชื้อ รักษาความสะอาดของ ร่างกายรวมทั้งน้ำและอาหาร ทำร่างกายให้อบอุ่น และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะสิ่งที่ทำให้ชีวิตเกิดความสุขได้ เริ่มต้นได้จากครอบครัวที่อบอุ่น ห่วงใย และใส่ใจ ดูแลกันนะคะ อย่าลืมดูแลสุขภาพของคุณและคนที่คุณรัก ด้วยการหันมาใส่ใจ ดูแลสุขภาพกาย ของคนในครอบครัวให้ดี มา “สุขใจเพราะเราเลือกดูแลกัน” ด้วยวิธีรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อเป็น ภูมิคุ้มกันต้านโรคที่มากับหน้าหนาวนี้ค่ะ
By ปังปอนด์
|