ปาฏิหาริย์ดีเอ็นเอ กว่าที่สองพี่น้องจะมีเสียงหัวเราะ กอดคอกันถ่ายรูปกันได้มีความสุขอย่างวันนี้ ต้องผ่านทั้งน้ำตาและความเจ็บปวดเจียนตาย ดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ หากไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่ส่งจากพี่สาว “คุณน้อง - กัลยาณี ประดับพงษา” คงไม่สามารถกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างวันนี้ “ดิฉันทำงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับที่บริษัทการบินไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534” คุณน้องเริ่มต้น “ตามกฎ ลูกเรือต้องตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี ซึ่งที่ผ่านมาก็ปกติมาตลอด กระทั่งปี 2549 ดิฉันอายุ 37 ปี ผลตรวจพบว่า เม็ดเลือดขาวเยอะผิดปกติ แล้วพอส่งให้อาจารย์หมอโรคเลือดส่องกล้องดู พบว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ดิฉันอึ้ง เพราะมั่นใจในตัวเองว่าไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ทานอาหารสดใหม่ ผักผลไม้ปลอดสารพิษ ที่บ้านก็ไม่มีประวัติว่าใครเคยเป็นโรคเลือด หมอสันนิษฐานว่า เซลล์มะเร็งอยู่ในดีเอ็นเอ หากภูมิต้านทานในร่างกายต่ำ โรคนี้จะปรากฏขึ้น ซึ่งดิฉันเองเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง ค่อยเป็นค่อยไป แตกต่างจากชนิดเฉียบพลันที่อาการกำเริบรวดเร็ว อ่านในเว็บไซต์เจอว่าต้องรักษาด้วยการใช้ยาและปลูกถ่ายไขกระดูก “วันที่ดิฉันหยุดทำงาน ทางบริษัทบอกว่าจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลและไม่ต้องกังวลเรื่องเวลางาน พยายามรักษาตัวให้หาย กลับมาอาจทำงานภาคพื้นดินไปก่อน จากนั้นพี่ ๆ น้อง ๆเพื่อน ๆ ที่การบินไทย รวมทั้งเจ้านายโทร.มาให้กำลังใจทุกวัน พวกเขารู้ว่า หากดิฉันหยุดทำงานก็ขาดรายได้ ไหนลูกอีก 2 คนยังเล็ก ณ ตอนนั้นคนเล็กเพิ่งเข้าอนุบาล 1 ส่วนคนโตเพิ่งเข้า ป.3 จึงช่วยเปิดบัญชีบริจาคให้ดิฉัน พอเห็นยอดเงินเข้ามา ซึ่งหมายถึงกำลังใจที่อยากให้เรากลับมาทำงานใหม่ ท่ามกลางสามีและครอบครัวที่ให้กำลังใจ จากที่คิดว่ายอมตาย กลายเป็นว่าตายไม่ได้ ต้องสู้ ดิฉันจึงเข้าร่วมโครงการคนไข้ทดลอง ทานยากลีเวค (เป็นยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งฟิลาเดลเฟียโครโมโซมให้เหลือศูนย์ โรคจึงจะหาย) เช้า - เย็น ช่วงแรกคลื่นไส้มาก หมดแรงลุกไม่ไหวเลย ทานไม่ได้ แต่ต้องฝืน ดิฉันต้องไปโรงพยาบาลทุก 2 สัปดาห์เพื่อรับยา ก่อนให้ยาทุกครั้งต้องตรวจเลือด เพื่อดูว่าร่างกายสามารถรับยาได้ต่อไปหรือไม่ โดยดูค่าของตับและเม็ดเลือดขาว ขณะใช้ยาไม่พบเซลล์มะเร็งเลย ฤทธิ์ยากดเม็ดสีผิวทำให้ผิวผ่อง ขาว สวย มีน้ำมีนวล แต่ข้อเสียคือยาแรง ทำให้คลื่นไส้อยากอาเจียน แต่หาอาเจียนยาออกมาก็ต้องเริ่มต้นใหม่ แล้วไม่สามารถหยุดยากลางคัน เพราะเซลล์มะเร็งจะกลับมา คุณหมอและครอบครัวให้กำลังใจอย่างดี ดิฉันพยายามมาถึงโดสสุดท้าย แต่ด้วยอาการที่ค่อยๆ แรงขึ้นจนอาเจียนไม่หยุดและไม่สามารถทานข้าวได้” ทางออกเดียวที่คุณน้องจะรอดจากความทรมานคือ การปลูกถ่ายไขกระดูก หรือการให้สเต็มเซลล์ ซึ่งต้องมาจากพี่น้องท้องเดียวกันเท่านั้น แต่ความหวังของเธอริบหรี่เพราะพี่ทั้ง 3 คนไม่ตรงกันเลย เหลือเพียงพี่สาวคนโต “ทันตแพทย์หญิง สุธาสินี เกษมศานติ์” หรือคุณแจง เล่าว่า “ดิฉันกับน้องห่างกันประมาณ 9 ปี เขาเป็นน้องเล็กของพี่ 4 คน หลังจากคุณพ่อเสีย ดิฉันส่งเสียเขาเรียน จัดงานแต่งงานให้ ดูแลใกล้ชิดแทบจะเรียกวาเป็นลูก ตอนนั้นดิฉันเป็นอาจารย์ที่คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กำลังเรียนปริญญาเอกกับศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรพล อิสรไกรศีล หัวหน้าภาควิชาโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช ตอนที่น้องโทร.มาบอกว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ดิฉันปรึกษาอาจารย์ ท่านให้พาน้องมาด้วย อาจารย์หมอถามว่า มีลูกหรือยัง เบิกค่าใช้จ่ายได้รึเปล่า ไปเจาะเลือดที่ไหนมาบ้าง น้องตอบว่าเจาะเลือดที่บริษัทการบินไทยและที่โรงพยาบาลภูมิพล อาจารย์จึงพาดิฉันไปเจาะเลือดเพื่อดูความพร้อมร่างกายและเข้าคิวรอการปลูกถ่าย จำได้ว่ารอ 2 - 3 คิว คนไข้คิวแรกกลัว ไม่กล้าทำสละสิทธิ์ คิวสองคิวสามหกล้มขาหัก จึงร่นขึ้นมาถึงคิวดิฉันภายในเวลา 3 เดือน จำภาพวันนั้นได้เลย เราอยู่พร้อมกัน 5 คนพี่น้อง พยาบาลโทร.มาแจ้งว่าทุกอย่างลงตัวทั้งไขกระดูกและห้องปลอดเชื้อ “ตอนแรกคิดว่าคงเหมือนให้เลือด อาจารย์หมอให้ยากระตุ้นการผลิตเซลล์ดิฉันไปทานก่อนหนึ่งสัปดาห์ บอกเพียงว่า จะเป็นไข้นิดหน่อย ขนาดดิฉันออกกำลังกายประจำ สุขภาพแข็งแรง ไม่เคยป่วยยังรู้สึกปวดตามตัว แล้วต้องนอนโรงพยาบาล 1 สัปดาห์เพื่อให้น้ำเกลือและให้ยา โดยเจาะเส้นเลือดใหญ่ที่คอฝังท่อไว้ ดิฉันคุ้นเคยกับเครื่องมือแพทย์ดียังอดถามไม่ได้ว่า ท่อใหญ่ขนาดนี้เลยหรือขณะที่อีกห้องหนึ่งน้องสาวต้องทรมานมาก เพราะหมอให้คีโมเพื่อฆ่าเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายน้องให้หมดก่อนจะรับเซลล์ใหม่จากดิฉัน คงไม่มีใครเล่าวินาทีที่ร่างกายค่อย ๆ หมดภูมิต้านทานลงได้ดีเท่ากับคุณน้องอีกแล้ว ดิฉันต้องทานยาเกือบร้อยเม็ดทุกวัน กับถูกเจาะเส้นเลือดใหญ่เพื่อให้เคมี ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ผมเริ่มร่วง พยาบาลจึงโกนผมให้และผลจากเคมีบำบัดทำให้ผิวดิฉันกลายเป็นสีดำเกรียมตั้งแต่หัวจรดเท้า มีแผลไหม่ตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนัก ความที่ภูมิต้านทานถูกทำลายลงทุกวัน ทานอะไรก็อาเจียนและขับถ่ายออกมาหมดต้องให้เกล็ดเลือดเพิ่ม กำลังคิดว่าจะอยู่รอรับไขกระดูกจากพี่ไหวไหม ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง ถือเป็นข่าวดีที่สุดในชีวิตว่า ร่างกายพร้อมแล้ว ขณะที่พี่แจงพัก 2 วันก็ไปวิ่งออกกำลังกายได้ แต่ดิฉันยังต้องรอดูผลว่าปลูกถ่ายไขกระดูกสำเร็จหรือเปล่า ถือเป็นช่วงอันตรายมาก เพราะจะเกิดปฏิกิริยาระหว่างคีโมที่ฆ่าเซลล์เก่ากับยาใหม่ที่ให้เพื่อรับเซลล์ใหม่ “ดิฉันรักษาตัวอยู่ในห้องปลอดเชื้อในสภาพปวดแสบปวดร้อนทั่วตัว ปากคอเป็นแผลร้อนในพุพอง ทานข้าวไม่ได้อาเจียนตลอดเวลา ดื่นน้ำก็แสบคอต้องพยายามฝืนเพื่อให้ร่างกายมีแรงสู้กับโรค แต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะสวดมนต์ จะผล็อยหลับได้ก็ด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ พยาบาลพยายามให้ดิฉันลุกขึ้นเดิน แต่แป็บเดียวก็เหนื่อย จิตใจหดหู่ทั้งที่อาการเดิมยังไม่หาย เดี๋ยวพยาบาลเข้าให้ยาอีกแล้ว สามีมาเฝ้าทุกวัน เขาต้องใส่ชุดปลอดเชื้อตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ส่วนลูก 2 คนยังเล็กมากไม่อยากให้มาเยี่ยม ดิฉันใช้วิธีเขียนจดหมายถึงลูกบอกเขาว่าตอนนี้แม่ไม่สวยเหมือนเดิมแล้ว ลูกเห็นอาจตกใจ ตัวแม่ดำหมดเลยผมก้ไม่มี ผอมมากด้วย จากน้ำหนักปกติ 48 เหลือแค่ 37 กิโลกรัม ยังจำข้อความที่ลูกคนโตเขียนกลับได้ เขาเขียนว่า ไม่ว่าแม่จะเป็นอย่างไร แม่สวยเสมอในสายตาของหนูแม่ไม่ต้องห่วง ทานข้าวเยอะ ๆ นะ ดิฉันอ่านแล้วก็ร้องให้ “เมื่อทรามนจนถึงขีดสุด เข้าใจว่า ทำไมประตูห้องปลอดเชื้อจึงต้องล็อกตลอดเวลา เพราะ ณ วินาทีนั้นดิฉันไม่ห่วงใครแล้วแม้กระทั้งชีวิตตัวเองลืมหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งการทำสมาธิหรือสวมนต์ นั่งมองแต่ประตูทางออก อยากหนีกลับบ้าน จึงถามพยาบาลว่าทำไมต้องล็อกประตูห้องจากข้างนอกตลอดเวลา พยาบาลตอบว่า คุณกัลยาณีถามทำไมคะ ดิฉันไมได้ตอบอะไร พยาบาลจึงตอบว่า เคยมีคนไข้หนีจากห้องปลูกถ่าย ซึ่งอันตรายมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายไม่มีภูมิจึงต้องมีการล็อกห้องจากภายนอกเพื่อป้องกันไว้ก่อน จากที่คิดว่าอยากหนีกลับบ้าน แต่ไม่สามารถทำได้ จึงบอกกับสามีว่า ไม่ไหวแล้วขอหยุดการรักษาเถอะ สามีถึงกับคุกเข่าขอให้ดิฉันอยู่เพื่อเขากับลูก แล้วแอบโทร.หาหมอที่รักษา (แพทย์หญิงพัชราวดี รงค์วราโรจน์) คุณหมอน่ารักมาก โทร.มาให้กำลังใจว่า คนไข้ของหมอไม่เคยมีใครตาย เพราะฉะนั้น อย่าทำให้หมอเสียชื่อ (หัวเราะ) แล้วหมอก็หมั่นมาเยี่ยม หากไม่ว่าก็โทร.มาถามอาการทุกวัน “กว่าดิฉันจะผ่านแต่ละวันแต่ละคืนไปได้นั้นสุดแสนจะทรมาน สามีมาเยี่ยม ดิฉันขอให้เขากอดหน่อย สามีปฏิเสธ เพราะในช่วงเวลานั้นการติดเชื้อจากภายนอกอันตรายกับดิฉันมาก เขาพูดให้ฉุกคิดว่า หยุดทุรนทุกรายแล้วตั้งสตินะ เราจึงนึกได้ว่าเคยฝึกสมาธิ จึงกำหนดลมหายใจ แล้วถามตัวเองว่า ทำอะไรจึงต้องทรมานขนาดนี้ ขณะที่คิดอยู่นั้นได้ยินเสียงสวดมนต์ ‘จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง’ จำได้ว่าเป็นบทที่พระสวดให้พรตอนที่ใส่บาตร แม้ฤทธิ์ยาอาจทำให้หูแว่ว แต่อย่างน้อยก็มีกำลังใจขึ้นมาว่า เราต้องไม่ตาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเปิดทางรอดให้ ดิฉันกดเรียพยาบาลขออาหาร บอกว่าจะเริ่มทานแล้ว พยายาลรีบกุลีกุจอนำขนมมาให้ แต่ทานได้ 2 - 3 คำก็อาเจียน” "ดิฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าน้องจะตาย แม้สภาพของเขาตอนนั้นจะดูไม่จืด ผิวสีดำสนิท ไม่มีผม ผอมขาลีบ" คุณแจงเปิดเผย เพราะเมื่อคุณน้องต้องกลับมาสู่ชีวิตประจำวันในสภาพร่างกายที่ภูมิต้านทานไม่ปกติ จากแอร์โฮสเตสสาวสวยกลายเป็นมีแต่คนทัก คุณน้องเล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า "ดิฉันอยู่โรงพยาบาลประมาณเดือนครึ่ง การปลูกถ่ายไขกระดูกประสบความสำเร็จ หมอจึงให้กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้าน ไม่ใช่แค่พี่แจงที่ตกใจ ขนาดลูกคนเล็กเห็นสภาพแม่ยังวิ่งหนี ความที่ภูมิคุ้มกันยังไม่ปกติ ผิวค่อย ๆ ลอกเป็นแผ่น ดิฉันกลัวสามีรังเกียจจึงทาครีม กลายเป็นว่าเริ่มขึ้นเต็มหน้า ทุกคนอึ้ง สามีสั่งเพื่อนที่มาเยี่ยมที่บ้านเลยว่าอย่าทักเรื่องสวยไม่สวย กลัวดิฉันจิตตก แล้วทุกเช้าที่ลืมตาตื่นต้องพบกับความทรมานของการทานข้าวไม่ได้ จะคลื่นไส้อาเจียนตลอด ณ ตอนนั้นไม่อยากตายแล้ว จึงโทร.ปรับทุกข์กับหมอเพื่อวิธีให้ตัวเองรอด หมอให้อดทดพยายามทานข้าวให้ได้เพื่อที่จะได้ทานยา" “กลับมาอยู่บ้านได้ประมาณ 3 เดือนทั้งที่ผิวยังคงดำ ผอม หัวโล้น แม้บริษัทบอกให้พักรักษาตัวให้หายก่อน แต่ดิฉันไม่มีทางเลือก เพราะหากไม่มาทำงานก็ไม่มีรายได้ ดิฉันใส่มาสก์มาทำงาน เจ้านายเมตตาให้ทำงานอยู่ที่กองอบรมดูแลงานด้านเอกสาร สัปดาห์แรกสามีขับรถมาส่ง แต่เขาก็ต้องทำงานดิฉันจึงตัดสินใจขับรถมาทำงานเอง พอถึงเวลาทานอาหารกลางวันที่ห้องอาหารพนักงาน ทุกร้านถามอยากทานอะไรเดี๋ยวทำให้ เพราะอยากให้เราทานได้ แต่ก็เหมือนเดิม ทานได้ 2 - 3 คำก็ต้องหยุด เพราะคลื่นไส้ ช่วงเลวนั้นก็มีบ้างที่เจอสายตาที่ไม่ต้องถามก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ขณะที่บางคนถามตรง ๆ ... เป็นอะไร ทำไมผอมจัง เกือบจำไม่ได้ ... ดิฉันบอกว่าไม่ค่อยสบาย แล้วรีบเดินหนีเพราะไม่อยากพูดถึงอีก เวลาพูดให้ใครฟัง คนฟังก็ต้องเศร้า ตัวเองก็เศร้า ทำให้หดหู่อยากลืมทุกอย่าง “ความที่ทานยากดภูมิทำให้ร่างกายติดเชื้อง่าย ไม่ว่าจะเริม งูสวัดหรือปวดท้อง มาครบหมด หากเป็นไข้หวัดก็จะเป็นสายพันธุ์พิเศษต้องนอนโรงพยาบาล ครบ 3 ปี หมอสั่งหยุดยากดภูมิ ดีใจมาก เพราะแอบฝันว่าจะได้กลับไปเป็นลูกเรืออีก แต่หมอขอดูอาการ 1 เดือน พอครบกำหนดดิฉันไปหาหมอด้วยความหวัง พอได้ยินว่าหายแล้วนะ สามารถกลับไปทำงานบนเครื่องได้อีก โอ้โฮ ตลอด 3 ปีมานี้ไม่เคยได้ยินคำไหน ที่ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจเท่านี้เลย ดิฉันจึงได้กลับมาเป็นลูกเรือจนถึงทุกวันนี้ แม้ไฟลท์แรกไม่สมบูรณ์นัก แต่เพื่อให้ได้ทำงาน พยายามแต่งหน้า ส่วนผมก็ขึ้นแต่บางมากจึงต้องใส่วิก คุณหมอเคยบอกว่า เป็นผลกระทบที่เกิดจากการปลูกถ่าย รากผมจะถูกคีโมทำลาย อาจไม่ขึ้นอีก หรือถ้าขึ้นก็จะไม่เหมือนเดิม” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ดีเอ็นเอความแข็งแรงของพี่สาวได้กลายเป็นดีเอ็นเอของคุณน้องไปโดยอัตโนมัติ คุณน้องเล่าอย่างเขิน ๆ ว่า "ในบรรดาพี่ๆ 4 คน ดิฉันเรียนหนังสือไม่เก่งอยู่คนเดียว อ่อนทุกด้าน ขณะที่พี่แจงเรียนเก่ง เป็นอาจารย์หมอ เรียนปริญญาเอก ตอนนี้เปิดคลินิกทำฟันที่บ้าน เป็นนักไตรกีฬา ก็แปลเพราะพอดิฉันได้รับสเต็มเซลล์จากพี่แจง ปรากฏว่าจากไม่ชอบเรียน ชอบนอน กลายเป็นอยากเรียนรู้ กฎระเบียบบริษัทมีอะไรบ้างจำได้หมด แล้วที่ชัดเจนมากคือ แต่เดิมก่อนป่วยดิฉันสไตล์รักสวยรักงาม ไม่เล่นกีฬา กลายเป็นว่าอยากวิ่ง เริ่มฝึกในฟิตเนส เหนื่อยมาก แต่เราอยากแข็งแรงไม่อยากเป็นภาระใครอีกแล้ว พี่แจงจึงแนะนำให้วิ่งที่สวนสาธารณะ สามีให้กำลังใจ แม้กลางคืนจะสังสรรค์ดึกดื่นขนาดไหน เช้าต้องรถพาดิฉันไปวิ่งที่สวนสาธารณะ วิ่งเสร็จโทร.หาพี่แจง วันนี้น้องวิ่งได้ตั้ง 1 กิโลเมตร แล้วไปวิ่งกับพี่แจงตามงานต่าง ๆ ถือโอกาสไปเที่ยวด้วย เธอวิ่ง 10 กิโลเมตร ดิฉันวิ่ง 5 กิโลเมตร จนถึงงานวิ่งของโรงพยาบาลศิริราช ด้วยความสำนึกในบุญคุณที่ได้ให้ชีวิตใหม่แก่ดิฉัน ลงวิ่งในระยะทาง 5 กิโลเมตร แต่วิ่งผิดไปที่เส้นทาง 10 กิโลเมตร (หัวเราะ) คิดจะนั่งรถพยาบาลกลับ ปรากฏรถเต็ม ดิฉันจึงต้องวิ่งกลับอีก 10 กิโลเมตร" (หัวเราะ) “หลังจากนั้นดิฉันวิ่งมาตลอดจนถึงปัจจุบัน เชื่อว่าที่ตัวเองคืนสภาพมาได้เพราะอนิสงส์จากการวิ่ง แม้วันนี้ผลจากคีโมที่ทำลายมดลูกกับรังไข่ทำให้เป็นวันทองเร็วกว่าปกติ แต่พอรู้สึกวูบวาบก็ออกวิ่งทำให้ลืม พอเหนื่อยก็หลับ จึงมีความคิดว่า อยากนำเงินที่เพื่อนๆพี่ๆบริจาคให้ตอนที่ป่วยมาจัดงานวิ่ง เพื่ออยากให้ทุกคนหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพของตัวเอง และอยากช่วยผู้ป่วยมะเร็ง ดิฉันจึงปรึกษาคุณอรุณี พัฒนประภาพันธุ์ และคุณสมพงษ์ สวรรค์พรเพ็ญ แกนนำกลุ่ม THAI Angel ซึ่งเป็นกลุ่มจิตอาสาของพี่น้องพนักงานการบินไทยที่ทำงานช่วยเหลือสังคมและทำสาธารณประโยชน์หลายด้านมายาวนาน จากความช่วยเหลือกลุ่ม THAI Angel ก็เป็นรูปร่าง ใช้ชื่อว่า Run for Life จะมีขึ้นในวันที่ 19 มีนาคม 2560 ที่สวนหลวง ร.9 “มาลองวิ่งกัน อย่าคิดว่าไม่ไหว ขนาดดิฉันยังว่งได้ คุณก็ต้องทำได้เช่นกัน” เรื่อง แดนเจอร์ ภาพ วรสันต์ ทวีวรรธนะ Cr.นิตยสารรายปักษ์ แพรว ฉบับที่ 901 วันที่ 10 มีนาคม 2560 |
Home >> |
ปาฏิหาริย์ดีเอ็นเอ |
|
|